วันศุกร์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2560

บันทึกการเรียน ครั้งที่ 3

บันทึกการเรียนครั้งที่3
วันศุกร์ที่ 20 มกราคม 2560
      ในวันนี้อาจารย์ได้แจกตัวปั้มการมาเรียนก่อนค่ะ


     เริ่มการเรียนการสอน อาจารย์สอนเรื่องของเด็กพิเศษต่อ ว่ามีกี่ประเภท อะไรบ้าง?? ดังนี้


    ประเภทของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ

แบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ
1. กลุ่มเด็กที่มีลักษณะทางความสามารถสูง 
มีความเป็นเลิศทางสติปัญญา 
เรียกโดยทั่ว ๆ ไปว่า “เด็กปัญญาเลิศ”

เด็กปัญญาเลิศ (Gifted Child)
-เด็กที่มีความสามารถทางสติปัญญา 
-มีความถนัดเฉพาะทางสูงกว่าเด็กในวัยเดียวกัน

ลักษณะของเด็กปัญญาเลิศ
-พัฒนาการทางร่างกายและจิตใจสูงกว่าเด็กในวัยเดียวกัน
-เรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย 
-อยากรู้อยากเห็นอย่างจริงจัง ชอบซักถาม 
-มีเหตุผลในการแก้ปัญหา  การใช้สามัญสำนึก
-จดจำได้รวดเร็วและแม่นยำ
-มีความรู้ ใช้คำศัพท์เกินวัย
-มีความคิดริเริ่ม มีวิธีการคิดและแนวคิดแปลกๆ
-เป็นคนตื่นตัว เฉียบแหลม ว่องไว และช่างสังเกต 
-มีแรงจูงใจ และมีความมานะบากบั่นมีความจริงจังในการทำงาน 
-ชอบแสวงหาสิ่งท้าทายความคิดความอ่าน

เปรียบเทียบ
เด็กฉลาด                                 Gifted 
-ตอบคำถาม                              -ตั้งคำถาม 
-สนใจเรื่องที่ครูสอน                  -เรียนรู้สิ่งที่สนใจ
-ชอบอยู่กับเด็กอายุเท่ากัน        -ชอบอยู่กับผู้ใหญ่หรือเด็กที่โตกว่า
-ความจำดี                                 -อยากรู้อยากเห็น ชอบคาดคะเน
-เรียนรู้ง่ายและเร็ว                     -เบื่อง่าย 
-เป็นผู้ฟังที่ดี                             -ชอบเล่า 
-พอใจในผลงานของตน            -ติเตียนผลงานของตน 


 ตัวอย่างเด็กที่ปัญญาเลิศ

Akrit Jaswal ผ่าตัดตอนอายุ 7 ขวบ


Elaina Smith นักจัดรายการวิทยุที่อยุน้อยที่สุด

ด.ช.ธนัช เปลวเทียนยิ่งทวี ศิลปินสีน้ำ อายุ 5 ขวบ

คิม อึน ยอง IQ 210 

2.  กลุ่มเด็กที่มีลักษณะทางความบกพร่อง

แบ่งออกเป็น

1. เด็กที่บกพร่องทางสติปัญญา (Children with Intellectual Disabilities) 
หมายถึง เด็กที่มีระดับสติปัญญา 
หรือเชาว์ปัญญาต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ย
เมื่อเทียบเด็กในระดับอายุเดียวกัน 

มี 2 กลุ่ม คือ เด็กเรียนช้า และเด็กปัญญาอ่อน

เด็กเรียนช้า 
- สามารถเรียนในชั้นเรียนปกติได้ 
- เด็กที่มีความสามารถในการเรียนล่าช้ากว่าเด็กปกติ
- ขาดทักษะในการเรียนรู้ 
- มีความบกพร่องทางสติปัญญาเพียงเล็กน้อย 
- มีระดับสติปัญญา (IQ) ประมาณ 71-90 

สาเหตุของการเรียนช้า
1.ภายนอก
-เศรษฐกิจของครอบครัว
-การสร้างเสริมประสบการณ์ให้แก่เด็ก
-สภาวะทางด้านอารมณ์ของคนในครอบครัว
-การเข้าเรียนไม่สม่ำเสมอ
-วิธีการสอนไม่มีประสิทธิภาพ
2.ภายใน
-พัฒนาการช้า
-การเจ็บป่วย

เด็กปัญญาอ่อน
- ระดับสติปัญญาต่ำ 
- พัฒนาการล่าช้าไม่เหมาะสมกับวัย 
- มีพฤติกรรมการปรับตนบกพร่อง
- อาการแสดงก่อนอายุ 18 

พฤติกรรมการปรับตน
-การสื่อความหมาย
-การดูแลตนเอง 
-การดำรงชีวิตภายในบ้าน
-การปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นในสังคม 
-การใช้แหล่งทรัพยากรในชุมชน
-การควบคุมตนเอง
-การนำความรู้มาใช้ในชีวิตประจำวัน
-การใช้เวลาว่าง
-การทำงาน
-การมีสุขอนามัยและความปลอดภัยเบื้องต้น

เด็กปัญญาอ่อน
แบ่งตามระดับสติปัญญา (IQ) ได้ 4 กลุ่ม
1. เด็กปัญญาอ่อนขนาดหนักมาก IQ ต่ำกว่า 20
- ไม่สามารถเรียนรู้ทักษะด้านต่าง ๆ ได้เลย 
- ต้องการเฉพาะการดูแลรักษาพยาบาลเท่านั้น

2. เด็กปัญญาอ่อนขนาดหนัก IQ 20-34 
-ไม่สามารถเรียนได้ ต้องการเฉพาะการฝึกหัดการช่วยเหลือตัวเองในกิจวัตรประจำวันเบื้องต้นง่าย ๆ
-กลุ่มนี้เรียกโดยทั่วไปว่า C.M.R (Custodial Mental Retardation)

3. เด็กปัญญาอ่อนขนาดปานกลาง IQ 35-49
- พอที่จะฝึกอบรมและเรียนทักษะเบื้องต้นง่าย ๆ ได้ 
- สามารถฝึกอาชีพ หรือทำงานง่าย ๆ ที่ไม่ต้องใช้ความละเอียดลออได้ 
- เรียกโดยทั่วไปว่า T.M.R (Trainable Mentally Retarded) 

4. เด็กปัญญาอ่อนขนาดน้อย IQ 50-70 
-เรียนในระดับประถมศึกษาได้ 
-สามารถฝึกอาชีพและงานง่าย ๆ ได้ 
-เรียกโดยทั่ว ๆ ไปว่า E.M.R (Educable Mentally Retarded) 

ลักษณะของเด็กที่บกพร่องทางสติปัญญา
-ไม่พูด หรือพูดได้ไม่สมวัย
-ช่วงความสนใจสั้น วอกแวก
-ความคิด และอารมณ์ เปลี่ยนแปลงง่าย รอคอยไม่ได้
-ทำงานช้า
-รุนแรง ไม่มีเหตุผล
-อวัยวะบางส่วนมีรูปร่างผิดปกติ กล้ามเนื้อทำงานไม่ประสานกัน
-ช่วยตนเองได้น้อยกว่าเด็กในวัยเดียวกัน


ดาวน์ซินโดรม Down Syndrome















สาเหตุ
-ความผิดปกติของโครโมโซมคู่ที่ 21 
-ที่พบบ่อยคือโครโมโซมคู่ที่ 21 เกินมา 1 แท่ง (Trisomy 21)
อาการ
-ศีรษะเล็กและแบน  คอสั้น 
-หน้าแบน ดั้งจมูกแบน 
-ตาเฉียงขึ้น ปากเล็ก 
-ใบหูเล็กและอยู่ต่ำ รูหูส่วนนอกจะตีบกว่าปกติ
-เพดานปากโค้งนูน ขากรรไกรบนไม่เจริญเติบโต 
-ช่องปากแคบ ลิ้นยื่น ฟันขึ้นช้าและไม่เป็นระเบียบ 
-มือแบนกว้าง นิ้วมือสั้น 
-เส้นลายมือตัดขวาง นิ้วก้อยโค้งงอ 
-ช่องระหว่างนิ้วเท้าที่ 1 และ 2 กว้าง 
-มีความผิดปกติในระบบต่างๆ ของร่างกาย
-บกพร่องทางสติปัญญาระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง
-อารมณ์ดีเลี้ยงง่าย ร่าเริง เป็นมิตร
-มีปัญหาในการใช้ภาษาและการพูด
-อวัยวะเพศมักเจริญเติบโตไม่เต็มที่ทั้งในชายและหญิง


















การตรวจวินิจฉัยก่อนคลอดกลุ่มอาการดาวน์
-การเจาะเลือดของมารดาในระหว่างที่ตั้งครรภ์ 
-อัลตราซาวด์  
-การตัดชิ้นเนื้อรก
-การเจาะน้ำคร่ำ  

2. เด็กที่บกพร่องทางการได้ยิน (Children with Hearing Impaired ) 
















หมายถึง เด็กที่มีความบกพร่อง หรือสูญเสียการได้ยิน 
เป็นเหตุให้การรับฟังเสียงต่าง ๆ ได้ไม่ชัดเจน 
มี 2 ประเภท คือ เด็กหูตึง และ เด็กหูหนวก 

เด็กหูตึง หมายถึง เด็กที่สูญเสียการได้ยิน แต่สามารถรับข้อมูลได้ โดยใช้เครื่องช่วยฟัง จำแนกกลุ่มย่อยได้ 4 กลุ่ม

1. เด็กหูตึงระดับน้อย ได้ยินตั้งแต่ 26-40 dB เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงเบา ๆ เช่น เสียงกระซิบ หรือเสียงจากที่ไกล ๆ 

2. เด็กหูตึงระดับปานกลาง ได้ยินตั้งแต่ 41-55 dB
- เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงพูดคุยที่ดังในระดับปกติในระยะห่าง 3-5 ฟุต และไม่เห็นหน้าผู้พูด
- จะไม่ได้ยิน ได้ยินไม่ชัด จับใจความไม่ได้
- มีปัญหาในการพูดเล็กน้อย เช่น พูดไม่ชัด ออกเสียงเพี้ยน พูดเสียงเบา หรือเสียงผิดปกติ

3. เด็กหูตึงระดับมาก ได้ยินตั้งแต่ 56-70 dB
- เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังและเข้าใจคำพูด  
- เมื่อพูดคุยกันด้วยเสียงดังเต็มที่ก็ยังไม่ได้ยิน
- มีปัญหาในการรับฟังเสียงหลายเสียงพร้อมกัน  
- มีพัฒนาการทางภาษาและการพูดช้ากว่าปกติ
- พูดไม่ชัด เสียงเพี้ยน บางคนไม่พูด

4. เด็กหูตึงระดับรุนแรง ได้ยินตั้งแต่ 71-90 dB  
- เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงและการเข้าใจคำพูดอย่างมาก
- ได้ยินเฉพาะเสียงที่ดังใกล้หูในระยะ 1 ฟุต
- การพูดคุยด้วยต้องตะโกนหรือใช้เครื่องขยายเสียง
- เด็กจะมีปัญหาในการแยกเสียง
- เด็กมักพูดไม่ชัดและมีเสียงผิดปกติ บางคนไม่พูด

เด็กหูหนวก  
- เด็กที่สูญเสียการได้ยินมากถึงขนาดที่ทำให้หมดโอกาสที่จะเข้าใจภาษาพูดจากการได้ยิน
- เครื่องช่วยฟังไม่สามารถช่วยได้
- ไม่สามารถเข้าใจหรือใช้ภาษาพูดได้
- ระดับการได้ยินตั้งแต่ 91 dB ขึ้นไป

ลักษณะของเด็กที่บกพร่องทางการได้ยิน
-ไม่ตอบสนองเสียงพูด เสียงดนตรี มักตะแคงหูฟัง
-ไม่พูด มักแสดงท่าทาง
-พูดไม่ถูกหลักไวยากรณ์
-พูดด้วยเสียงแปลก มักเปล่งเสียงสูง
-พูดด้วยเสียงต่ำหรือด้วยเสียงที่ดังเกินความจำเป็น
-เวลาฟังมักจะมองปากของผู้พูด หรือจ้องหน้าผู้พูด
-รู้สึกไวต่อการสั่นสะเทือน และการเคลื่อนไหวรอบตัว
-มักทำหน้าที่เด๋อเมื่อมีการพูดด้วย

3. เด็กที่บกพร่องทางการเห็น (Children with Visual Impairments) 















- เด็กที่มองไม่เห็นหรือพอเห็นแสง เห็นเลือนราง
- มีความบกพร่องทางสายตาทั้งสองข้าง
- สามารถเห็นได้ไม่ถึง 1/10 ของคนสายตาปกติ
- มีลานสายตากว้างไม่เกิน 30 องศา 
จำแนกได้เป็น 2 ประเภท คือ เด็กตาบอด และ เด็กตาบอดไม่สนิท 

เด็กตาบอด 
- เด็กที่ไม่สามารถมองเห็นได้เลย หรือมองเห็นบ้าง
- ต้องใช้ประสาทสัมผัสอื่นในการเรียนรู้
- มีสายตาข้างดีมองเห็นได้ในระยะ 6/60 , 20/200 ลงมาจนถึงบอดสนิท 
- มีลานสายตาโดยเฉลี่ยอย่างสูงสุดแคบกว่า 5 องศา

เด็กตาบอดไม่สนิท 
- เด็กที่มีความบกพร่องทางสายตา
- สามารถมองเห็นบ้างแต่ไม่เท่ากับเด็กปกติ
- เมื่อทดสอบสายตาข้างดีจะอยู่ในระดับ 6/18, 20/60, 6/60, 20/200 หรือน้อยกว่านั้น
- มีลานสายตาโดยเฉลี่ยอย่างสูงสุดกว้างไม่เกิน 30 องศา 

ลักษณะของเด็กบกพร่องทางการเห็น
-เดินงุ่มง่าม ชนและสะดุดวัตถุ
-มองเห็นสีผิดไปจากปกติ
-มักบ่นว่าปวดศีรษะ คลื่นไส้ ตาลาย คันตา
-ก้มศีรษะชิดกับงาน หรือของเล่นที่วางอยู่ตรงหน้า
-เพ่งตา หรี่ตา หรือปิดตาข้างหนึ่ง เมื่อใช้สายตา
-ตาและมือไม่สัมพันธ์กัน
-มีความลำบากในการจำ และแยกแยะสิ่งที่เป็นรูปร่างทางเรขาคณิต

การนำไปประยุกต์ใช้
-สามารถนำความรู้ที่ได้ไปต่อยอดในการศึกษาต่อ เช่น นำไปเขียนรายงาน ทำแผนการศึกษา ทำวิจัย
-สามรถนำไปประยุกต์ใช้กับเด็กพิเศษที่ต้องมีการเขียนแผนการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับเด็กได้


การประเมิน
ตนเอง-เข้าใจในการสอนของอาจารย์ ตั้งใจเรียน ตรงต่อเวลา
เพื่อน-ตรงต่อเวลา ตั้งใจเรียน แต่งกายเรียบร้อย
อาจารย์-แต่งกายเหมาะสม สุภาพ สอนได้เข้าใจ มีเทคนิคการสอนที่ดี ทำให้ไม่ง่วง แม้เป็นทฤษฎีแต่รู้สึกสนุกในการเรียน


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น